18 December 2010

วันที่ 4 นางสนมที่เทียนถาน


    
     เช้านี้ไม่ได้รีบร้อนมาก เพราะจุดมุ่งหมายของการท่องเที่ยววันนี้มีที่เดียวคือ หอบูชาฟ้าเทียนถาน เห็นแต่ในทีวีมาเยอะแล้ว มาดูของจริงกันหน่อยเป็นไง


     ตื่นมาอาบน้ำกันแล้ว ก็ไปกินข้าวที่โรงอาหารในบริเวณโรงแรม (อากาศหนาวทุกวัน แต่เราก็อาบน้ำกันทุกวันทั้งเช้าทั้งเย็น 555+ ถ้าคนจีนรู้ คงคิดว่าเราบ้าไปแล้ว อิอิ)





           นี่แหละ หน้าตาอาหารเช้าของชาวจีน มีหมั่นโถว ไข่ต้ม ผักต่างๆ น้ำฟักทอง ข้าวต้ม


ปล.ใครจะกินอาหารเช้าของโรงแรม เพิ่มคนละ 5 หยวน (ค่าห้องพักไม่รวมอาหารเช้าจ้า) แต่ถ้าไม่กินก็ไม่เป็นไรนะ เช้านี้ก็กินกันแค่ 2 คน คือตั๊กกะพี่จิ๊ แต่เรากินได้นิดเดียว รู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พี่จิ๊กินเกลี้ยง แถมมีเติมอีก ส่วนพี่บอลก็ไดเอ็ตมื้อนี้


                                           กินเสร็จก็มาถ่ายรูปกันหน่อย






หน้าห้องพัก






 
หน้าโรงแรม


     วันนี้เราจะออกเดินทางไปซื้อตั๋วรถไฟที่จะเดินทางเย็นนี้กันก่อน โดยไปรถบัส ซึ่งสถานีรถบัสสาย 120 อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมาก เดินไปได้เลย (ออกจากโรงแรม เลี้ยวขวา เดินไปเรื่อยๆ จนเจอถนนใหญ่ แล้วข้ามได้เลย) แต่ต้องระวังรถตอนข้ามถนนด้วย เพราะรถเยอะมาก










ทางเดินไปขึ้นรถ



ป้ายบนรถ บอกว่าไปที่ไหนบ้าง (ค่าโดยสารคนละ 1 หยวน ซื้อตั๋วบนรถ)



คนเยอะ ไม่มีที่นั่ง ยืนเอานะ



ลงรถที่หน้าโรงแรมนี้พอดี Beijing International Hotel




ถนนใหญ่มาก จะข้ามไปฝั่งกระโน้นยังไงล่ะนี่

โอ๊ะโอ มีรถทำความสะอาดถนนด้วย


เจอแล้ว เดินไปทางนี้ไงล่ะ


แชะ ใต้อุโมงค์ทางเดิน


นี่ไง มาโผล่อีกฝั่งนึงแล้ว


โทรศัพท์กลับบ้านดีกว่า คิคิ


โน่นแน่ะ เห็นแล้วยอดสูงๆ ลิบๆโน่น คือสถานีรถไฟปักกิ่ง


ป้ายเค้าบอกให้ไปอีก 200 เมตร







บรรยากาศร้านสีเขียว คึกคักดี


ฮ่าๆๆ เจอกันอีกแล้ว สถานีปักกิ่ง




     วันนี้เข้าไปซื้อตั๋วในตึกนี้ดีกว่า (ตามที่บอกไว้ว่า ที่ขายตั๋วมีทั้งด้านนอก และในตึกด้วย) ด้านในตึกจะมีช่องเฉพาะสำหรับชาวต่างชาติด้วยล่ะ (ทางขวามือของภาพ ตรงป้ายสีขาวเป็นร้านขายของชำ มีขายซิมมือถือด้วย เราแวะซื้อซิมที่นี่ แล้วก็ให้เค้าใส่ซิมและเปิดใช้ให้เรียบร้อยเลย)


บรรยากาศด้านนอก


บรรยากาศช่องขายตั๋วด้านใน คนเยอะตลอด...


     และแล้ว วันนี้เราก็ซื้อตั๋วได้เกือบครบทุกเที่ยว ขาดแค่ตั๋วจากลั่วหยางกลับปักกิ่งเท่านั้นเอง (ค่อยไปหาเอาดาบหน้า) เย้ๆๆๆๆ ดีใจมากๆเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เราก็มาถามตั๋วทุกวันแหละ ในที่สุดก็ซื้อได้ สบายใจละ หรือจะเป็นเพราะ เราไปซื้อช่องชาวต่างชาตินะ?? เค้าเลยเก็บตั๋วไว้ให้ (เกี่ยวมั้ยเนี่ย) แต่ถ้าใครจะซื้อตั๋วที่ปักกิ่ง แนะนำให้ซื้อช่องชาวต่างชาติค่ะ เพราะว่าเจ้าหน้าที่จะใจดีกว่าช่องทั่วไปมากๆ เลย (แต่ข้อเสียคือ ช่องสำหรับชาวต่างชาติ มีแค่ช่องเดียวอ่ะ บางทีเจ้าหน้าที่ก็ไม่อยู่ ต้องรอนานหน่อย)


     สบายใจลั้ลลาแล้ว เราก็ออกไปขึ้นรถบัสเหมือนเดิม โดยถามคนแถวนั้นว่ารถบัสจอดตรงไหน พอเห็นรถบัสเยอะๆ ไม่แน่ใจว่าสายไหนไปเทียนถานบ้าง ก็ตะโกนถามคนขายตั๋วบนรถเลย ว่าไปเทียนถานมั้ยเจ๊ (ชวี่เทียนถานมา?) เจ๊บอกว่าไป เราก็ขึ้นรถซื้อตั๋วทันที


พี่บอลยิ้มแฉ่งเชียวนะ ซื้อตั๋วรถไฟได้แล้ว อิอิ



บรรยากาศภายในรถบัส

ผ่านเทียนอันเหมินด้วยอ่ะ เย้ๆ เดี๋ยวค่อยมานะจ๊ะ


การจราจรที่ปักกิ่ง


รถบัสยาว 2 ตอน

     พอลงรถแล้วก็ถามคนแถวนั้นว่าเทียนถานไปทางไหน เค้าก็ชี้ทางให้ แล้วก็เดินมาเจอกับมันเผาเจ้านี้ เย้....




     ถ่ายกับคุณคนขายด้วย (ขวาสุด) ส่วนอาเจ็กใส่หมวกข้างหลัง ไม่รู้โผล่มาเมื่อไหร่ แต่เสียดายภาพเบลออ่ะ


     นี่ไง มันเผาร้อนๆ หวาน อร่อย ซื้อลูกเดียวกิน 3 คน ประมาณ 6 หยวน ขอบอกว่าอร่อยมากกกกกกกกก




     ระหว่างที่กินมันเผา และคุยกับพ่อค้าอยู่ อาเฮียขับรถป็อกๆ ก็มา ชวนเราไปเที่ยวหูท่ง แต่เราไม่ไปกัน คิคิ เพราะจะไปเทียนถาน เฮียแกก็จะไปส่ง แต่ดันบอกค่ารถตั้ง 8 หยวน แพงไปอ่ะ ก็เทียนถานน่ะ อยู่ฝั่งตรงข้ามเองนะ เดินไปก็ได้ แต่ไหนๆ ก็ยืนคุยกะเฮียตั้งนานแล้ว เลยต่อรองกันว่า 6 หยวนแล้วกัน เพราะอยากนั่งรถเฮียเล่นด้วย ก็เลยขึ้นรถอาเฮียไปหน้าทางเข้าเทียนถาน




นี่ไง ทางเข้า แป๊ปเดียวก็ถึงแล้วเนี่ย กินมันเผายังไม่หมดเลย


อิอิ ตากล้องของเรา


 ซื้อตั๋วเข้าเทียนถานก่อนค่ะ




นี่ไง ตั๋วผ่านประตูเทียนถาน 15 หยวน




เข้าไปอีก ก็เก็บอีก 20 หยวน




ถ่ายกับประตูทางเข้า


ห้ามโน่นห้ามนี่



แผนที่บอกทาง






บรรยากาศร่มรื่นภายในเทียนถาน




     เห็นยอดตำหนักฉีเหนี้ยนเตี้ยนแล้วค่ะ ทางเดินที่เป็นหินอ่อนตรงกลางเป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของจักรพรรดิ แต่ปัจจุบันใครๆ ก็เดินได้แล้ว








     มาถึงแล้วค่ะ ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน หรือตำหนักสวดมนต์เพื่อความอุดมสมบูรณ์




     หอสวดมนต์นี้ตั้งอยู่บนฐานหินอ่อน 3 ชั้น เสาหินอ่อนรอบๆ ฐานแกะสลักเป็นรูปมังกรอย่างสวยงาม เป็นสัญลักษณ์แทนองค์จักรพรรดิ




     ลักษณะอาคารเป็นอาคารไม้ทรงกลม หลังคาซ้อนกัน 3 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องสีน้ำเงิน มีลูกแก้วสีทองประดับบนยอด มีเสาไม้รับน้ำหนักทั้งหมด 18 ต้น






     ภายในอาคารประดับด้วยภาพวาดมังกรทองและนกฟีนิกซ์สีทอง มีแท่นสวดมนต์ตั้งอยู่ภายใน





ความสวยงามของภาพวาด และหลังคา


รูระบายน้ำ ก็ยังสวยงาม


ราวบันได แกะสลักเป็นก้อนเมฆ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บนท้องฟ้า




ฮองเฮาเสด็จแล้ว....




นางสนมก็มาด้วย

ยินดีต้อนรับสู่เทียนถานค่ะ


รวมพลฮองเฮา และนางสนม (ฮ่องเต้กำลังเดินไปไหนน่ะ?)


ภาพนี้ ต้นตำรับมาเอง


เบื้องหลังความงามของนางสนม

ใส่ชุดไหนดีคะ??




     หลังจากที่ถ่ายรูปกันไปประมาณหนึ่งชั่วโมงจนหนำใจแล้วก็เดินทางต่อ ด้านหลังคือท้องฟ้าจำลองหลวง




     นี่ไงท้องฟ้าจำลองหลวง ลักษณะคล้ายกับตำหนักฉีเหนียนเตี้ยนที่เราไปมาแล้ว แต่ขนาดเล็กกว่า แล้วก็มีหลังคาแค่ชั้นเดียว เป็นสถานที่เก็บแท่นศิลาเพื่อใช้ในการประกอบพิธี ซึ่งตำหนักนี้จะมีกำแพงเสียงสะท้อนล้อมรอบ




ภายในท้องฟ้าจำลองหลวง


   นี่ไงคะ กำแพงเสียงสะท้อน ว่ากันว่าแค่กระซิบเบาๆ ข้างๆ กำแพง คนที่อยู่ด้านนอกกำแพง ก็จะได้ยินเสียงด้วย ถ้าคนที่อยู่ด้านนอกกระซิบกลับมา ก็ได้ยินเช่นกัน แต่ตอนนี้มีรั้วกั้นอยู่ ทำให้เข้าไปกระซิบข้างกำแพงไม่ได้ ก็เลยได้ยินคนจีนตะโกนเรียกกันแทนการกระซิบซะงั้น

   ออกจากท้องฟ้าจำลองหลวง เราก็มุ่งหน้าไปยังแท่นบวงสรวงกันต่อค่ะ


     
     แท่นบวงสรวงทรงกลม เป็นที่ซึ่งจักรพรรดิทรงจุดไฟเผาผ้าไหมเพื่อเป็นเครื่องบวงสรวงสวรรค์ จุดนี้ นักท่องเที่ยวมายืนต่อคิวถ่ายรูปกันเยอะเช่นกัน แต่ไม่ค่อยมีการแย่งหรือแซงคิวกัน สงสัยเป็นเพราะมีพวกฝรั่งเยอะมั้ง คนจีนเลยไม่กล้าแซง (เกี่ยวมั้ยไม่แน่ใจ?)

ด้านหลัง คือฐานหินอ่อน 3 ชั้น ของแท่นบวงสรวงค่ะ

     เอาล่ะ เราสำรวจเทียนถานครบทุกจุดที่สำคัญๆ แล้ว เย้เย ที่เทียนถานนี้เดินเที่ยวง่ายๆ สบายๆ มากเลย เพราะว่าแต่ละจุด ตั้งแต่ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน, ท้องฟ้าจำลองหลวง และแท่นบวงสรวง ต่างก็ตั้งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน เดินตรงตลอดเส้นทาง ก็ได้แวะครบทุกจุดเลย
นั่งพักสักครู่ ก่อนเดินทางต่อ


     ออกจากแท่นบวงสรวงมองตรงไปก็เป็นประตูทางออกแล้วค่ะ (ประตูทิศใต้)
แวะถ่ายภาพริมถนน

หลังจากนั้น เราก็เดินทางโดยรถไฟใต้ดินไปหวังฝูจิ่งกันต่อ

ถึงแล้วจ้า สถานีหวังฝูจิ่ง


นี่ไงหวังฝูจิ่ง

     แต่ว่าวันนี้ผิดแผนนิดหน่อย พอมาถึงหวังฝูจิ่ง ก็แวะกินข้าวกันที่ห้างแถวๆ นั้น แล้วก็ซื้อขนมปังไปกินกันสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วย ดังนั้น กว่าจะเสร็จเรื่องก็มืดไปแล้ว เลยไม่ได้เดินเที่ยวหวังฝูจิ่ง เอาไว้ค่อยกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง วันนี้ต้องจรลีกลับโรงแรมไปอาบน้ำและเก็บสัมภาระที่จะต้องเดินทางไปต้าถงในคืนนี้ก่อนจ้า


     นี่ไง ตั๋วรถไฟไปต้าถง รถไฟจะออกตอนเกือบๆ เที่ยงคืน เราเอากระเป๋าฝากไว้ที่โรงแรม และเอาสัมภาระสำหรับเดินทางใส่กระเป๋าลากเล็กๆ ไปกัน แล้วก็เดินออกจากโรงแรม เรียกแท็กซี่ไปยังสถานีรถไฟปักกิ่งเจ้าเดิม

สถานีรถไฟปักกิ่งยามค่ำคืน

     เราไปนั่งรอรถไฟกันตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง ขอบอกไว้ก่อนว่าถ้าเดินทางด้วยรถไฟเมืองจีนล่ะก็ ต้องรีบไปถึงสถานีหน่อยนะคะ เพราะว่ามันจะมีทางเข้าชานชาลาหลายประตูมากๆ แล้วก็ไม่ใช่มีแค่ชั้น 1 ชั้นเดียว ยังมีชั้น 2 อีกด้วย ต้องไปรอให้ถูกที่นะคะ ถ้าดูป้ายประกาศไม่เป็นก็ยื่นตั๋วถามเจ้าหน้าที่เลยว่า ขบวนนี้ให้ขึ้นที่ประตูไหน เพราะว่ารถไฟเมืองจีนออกตรงเวลามากๆ เลย แล้วก็ถึงตรงเวลาด้วย ถ้าหากไปช้า เค้าอาจจะไม่รอก็ได้ค่ะ (พอดีว่าระหว่างที่รอรถขบวนเรานั้น ผู้โดยสารของขบวนก่อนหน้ามาช้า ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ที่เช็คตั๋วเค้าปิดประตูทางเข้าแล้ว ทำให้ตกรถไฟเที่ยวนั้นไปเลย)
     ประตูทางเข้าเพื่อเช็คตั๋วก่อนเดินทางไปขึ้นรถไฟค่ะ ตอนนี้ประกาศเรียกขวนที่ Z61อยู่ รถไฟจะออกเวลา 22.40 น. ให้มาเช็คตั๋วได้แล้ว
     การซื้อตั๋วรถไฟเมืองจีนจะยากสักหน่อย เพราะว่าตั๋วมักจะเต็ม เนื่องจากคนเดินทางเยอะมากๆ ต้องหมั่นมาถามบ่อยๆ หรือไม่ก็ซื้อไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เลย ซื้อตั๋วจากต่างสถานีไว้เลยก็ได้ค่ะ ถ้าเรามีกำหนดการเดินทางที่แน่นอนแล้ว จะได้ไม่พะวงกับการหาซื้อตั๋วด้วย
     ช่วงที่มารอเช็คตั๋วเนี่ย คนที่เดินทางขบวนเดียวกันกับเราก็จะเยอะมากๆ พอใกล้ๆ จะถึงเวลารถไฟออกแล้ว ประมาณ 20 นาที ก็ให้มายืนหน้าที่เช็คตั๋วได้แล้วค่ะ จะได้เข้าไปเร็วๆ ไม่ต้องรอคิวนาน และไม่ต้องเบียดเสียดกับคนอื่นมากจนเกินไป เพราะว่าเรายังต้องไปเดินหาตู้อีกด้วยว่าอยู่ตรงไหน
     เอาล่ะ พอใกล้เวลารถไฟออกแล้ว เราก็มายืนรอเช็คตั๋วกัน พอเข้าไปได้แล้ว ก็ถามเจ้าหน้าที่เลยค่ะ ยื่นตั๋วให้ดูเลยก็ได้ ว่าตู้ของเราต้องไปทางไหน จะได้ไม่ต้องหาให้เสียเวลา
     พอเจอแล้วว่าอยู่ตู้ไหน เราก็ต้องเดินหาที่นอนอีก รถไฟตู้นอนของจีนเนี่ย นอนจริงๆ นะ คือเป็นเตียงเลย ไม่ใช่เป็นเก้าอี้ก่อน แล้วค่อยปรับเป็นที่นอนเหมือนรถไฟไทยของเรา แถมการเดินทางด้วยรถไฟตู้นอนครั้งแรกของเราก็เกือบเที่ยงคืนไปแล้ว เค้าปิดไฟทั้งขบวนเลยค่ะ มืดแบบมองไม่เห็นเลย พวกเราก็งงว่าแล้วจะรู้ได้ไงว่าที่นั่งเราอยู่ตรงไหน

     แต่ก็ด้วยความโชคดี เราตัดสินใจออกไปถามคนที่กำลังเดินขึ้นมาพอดี ว่าที่นั่งนี้ดูยังไงว่าอยู่ตรงไหน บังเอิญมากๆ ว่าที่นั่งของเค้าติดกันกับพวกเราเลย เค้าเลยมาช่วยเราเอามือถือส่องไฟดูหมายเลขที่นั่งให้ ถึงได้รู้ว่า หมายเลขที่นั่งนั้น เค้าแปะไว้ข้างบนหน้าต่าง เฮ้อ แล้วหาอยู่ตั้งนานว่าดูตรงไหน
     เจอที่นั่งแล้ว แต่ก็ยังไม่จบ เพราะว่าของเรา เป็นตู้นอนแบบฮาร์ด สลีปเปอร์ (Hard Sleeper) หรือตู้นอนแบบ 6 เตียงนั่นเอง ตอนแรกก็งงๆ นะว่ามันเป็นเตียงแข็งๆ หรือไง ตกลงว่าไม่ใช่ ถ้า ฮาร์ด ก็คือมี 6 เตียง แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง แต่ละฝั่งก็จะมีเตียงบน กลาง ล่าง แต่ถ้าเป็นแบบซอฟต์ สลีปเปอร์ (Soft Sleeper) ล่ะก็ หืมม นอนสบายมากๆ เลย คือจะเป็นห้อง มี 4 เตียง มีประตูปิดห้องเรียบร้อยเลย มีเตียง 2 ฝั่งเหมือนกัน ฝั่งละ 2 เตียง คือ บนกับล่าง ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว แต่ราคาก็จะสูงกว่าแบบ 6 เตียงด้วย
     เอาล่ะ ต่อๆ พอเราหาที่ของเราเจอแล้ว ก็ต้องพบกับความลำบากอีกนิดนึง เนื่องจากเป็นตู้นอนแบบ 6 เตียงแล้ว พวกเราก็ยังได้เตียงบนทุกคนเลย ก็แปลว่า เราต้องปีนขึ้นไป ฟังดูเหมือนไม่ยาก ถ้านึกถึงรถไฟไทยเตียงบน แต่วิธีขึ้นของที่นี่คือ ต้องขึ้นทางปลายเตียง เพราะขณะนี้คนอื่นๆ ที่นอนฝั่งตรงข้ามเรา และนอนข้างล่างเรา หลับกันหมดแล้ว เราจึงต้องหาทางปีนขึ้นไปแบบมืดๆ ด้วย กลัวตกก็กลัว (สงสารพี่จิ๊อย่างแรง แต่ดีที่พี่จิ๊แข็งแรง เลยสามารถปีนขึ้นไปได้ เก่งมาก ให้สามดาว)
     พอขึ้นไปบนเตียงได้สักพัก ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาขอแลกตั๋วกับเรา คือเอาตั๋วรถไฟเรามาเปลี่ยนเป็นตั๋วเหล็ก แล้วตอนเช้า ถ้าเราต้องลงแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะมาเรียกเอง และเก็บตั๋วเหล็กของเค้าไป แล้วเอาตั๋วรถไฟของเรากลับมาคืนให้เหมือนเดิม

     ตั๋วเหล็กที่เจ้าหน้าที่เอามาแลก (ห้ามทำหายนะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ด่า+เสียค่าปรับด้วย แต่ไม่แพง ประมาณ 5-10 หยวน ถ้าจำไม่ผิด แต่ภาพที่เอามานี้เป็นตั๋วเหล็กตอนที่เดินทางไปซีอาน เพราะว่าของคืนที่ไปต้าถงมันมืด ถ่ายไม่ได้เลย)
   
     ตอนแรกก็กลัวอยู่ว่าเราจะลงรถไฟได้ตอนไหนเนี่ย นึกว่าต้องตื่นเอง ลงรถไฟเองตามเวลาที่รถไฟถึงซะอีก ก็เลยหลับๆ ตื่นๆ กลัวเลยต้าถงไปซะก่อน พอตื่นมาก็เลยเดินๆ เผื่อถามใครได้บ้าง พอเจอคุณลุงที่ยังไม่หลับก็เลยได้ถามเค้าว่าตอนนี้ถึงที่ไหนแล้ว แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าต้องลงแล้ว คุณลุงก็ใจดีมากบอกว่าเดี๋ยวเค้ามาเรียกเองแหละ ทำให้เราสบายใจ หลับได้เต็มที่เลย
    
    หายกังวลแล้วก็หลับสนิท พรุ่งนี้ก็คงถึงต้าถงตอนเช้าตรู่ล่ะนะ ตอนนี้ง่วงนอนมากๆ เลย เจอกันที่ต้าถงพรุ่งนี้เช้านะค้า...

คำศัพท์สำหรับวันนี้

          (piào)        เพี่ยว            ตั๋ว


售票处 (shòupiàochù)    โซ่วเพี่ยวชู่    ที่ขายตั๋ว


软卧      (ruǎnwò)   หร่วนว่อ       ตู้นอนชั้นพิเศษ (4 เตียง)


硬卧     (yìngwò)     ยิ่งว่อ           ตู้นอนชั้นธรรมดา (6 เตียง)


上铺     (shàngpù)   ซ่างพู่          เตียงบน


中铺     (zhōngpù)   จงพู่            เตียงกลาง


下铺     (xiàpù)        เซี่ยพู่          เตียงล่าง


枕头     (zhěntóu)    เจิ่นโถว       หมอน


被子     (bèizi)          เป้ยจึ           ผ้าห่ม


床单    (chuángdān)  ฉวงตัน      ผ้าปูที่นอน


ชื่อสถานที่


天坛      (tiāntán)            เทียนถาน


王府井 (wángfǔjǐng)     หวังฝูจิ่ง


大同      (dàtóng)            ต้าถง


--------------------------------------------
วันที่ 1 การเดินทางวันแรกของหนู
วันที่ 2 ถึงเมืองจีนแล้วจ้า
วันที่ 3 เที่ยวกำแพงเมืองจีน
วันที่ 4 นางสนมที่เทียนถาน
วันที่ 5 มาโผล่ที่ต้าถง ชมถ้ำหยุนกัง-วัดแขวน
วันที่ 6 เข้าสู่ซีอาน ชมสุสานจิ๋นซี
วันที่ 7 เที่ยวลั่วหยาง ชมถ้ำหลงเหมิน,พิพิธภัณฑ์ และวัดม้าขาว
วันที่ 8 กลับปักกิ่ง โดนทหารไล่ที่พระราชวังต้องห้าม
วันที่ 9 พักผ่อนหย่อนใจ ที่พระราชวังฤดูร้อน-สนามกีฬารังนก-หวังฝูจิ่ง
วันที่ 10 ช็อปปิ้งที่ตลาดรัสเซีย
วันที่ 11 บ๊ายบายปักกิ่ง
วันที่ 12 ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

No comments: